ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ไปเที่ยว รีโซเทลแก่งละว้า (River Kwai Resotel) รีสอร์ทกลางป่ากันเถอะ



          ท่าเทียบเรือลูกค้ารีสอร์ทรีโซเทล






    แพสำหรับพักผ่อน มุมนี้น่านอนเล่นจริงๆ


เมื่อเดือนมีนาคม ได้มีโอกาสไปเที่ยว รีสอร์ทกลางป่ากลางเขา(จริงๆ)เลยเก็บรูป เก็บเรื่องราวมา ชวนให้ไปลองพักผ่อนที่นั่นดู เส้นทาง ไทรโยค-ทองผาภูมิ ผ่านไทรโยคน้อยไปสักระยะ จะมีทางเลี้ยวซ้ายต้องสังเกตป้ายเอาหน่อย เข้าไปพอสมควรจะไปจอดที่บริเวณท่าแพ เพราะต้องลงเรือต่อ แค่นี้ก็น่าทึ่งแล้วตื่นเต้นดี ไม่ต้องรอนานก็ได้นั่งเรือตะลุยฝ่าสายน้ำแคว เราล่องฝ่าสายน้ำขึ้นไป สองข้างทางเป็นภูเขา ฝั่งขวาที่นั่งไปไม่ค่อยมีต้นไม้ แต่ฝั่งซ้ายเป็นธรรมชาติเลย รีสอร์ทรีโซเทลแก่งละว้า ก็อยู่บนเขานี่แหล่ะ ที่จริงมีทางเข้าอีกทาง ไม่รู้ด้านไหนหน้าหรือหลังรีสอร์ท แต่ที่เห็นๆนิยมมาทางเรือกันมากกว่า เพราะไม่ทันทิ้งระยะ เดี๋ยวก็มีเรือวิ่งตามกันมา อาจจะมาจากท่าแพจุดอื่นๆบ้าง บ้างก็ไปพักที่อื่นคือเรือเลยจุดรีสอร์ที่นี่ไป แสดงว่าใกล้ๆกันหรือห่างออกไปยังมี ที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวอีกมาก



                                    โคมไฟส่องทางเดิน

ถึงที่ท่าแพท่าเรือก็ลากกระเป๋าเช็คเอาท์กัน พอขึ้นฝั่งแล้วไปยืนบนฝั่งที่ระเบียงทางเดินมองลงมา









 ระเบียงเลียบแม่น้ำ มุมนี้ต้องถ่ายรูป



        เรือนักท่องเที่ยวที่วิ่งผ่านไปมาตลอด





           ระเบียงนั่งพักผ่อนเล็กๆชั้นสอง 
     ของเคาท์เตอร์อยู่ติดทางเดินเลียบแม่น้ำ





โอ้โห!สวยมากแม่น้ำเป็นทางสายยาวไหลอยู่ข้างล่าง มีเรือวิ่งพานักท่องเที่ยวผ่านไปมาเป็นระยะ จุดนี้ถ่ายรูปกันได้สบายๆหลายมุม ทั้งทางเดิน ฉากหลังเป็นภูเขา เบื้องล่างเป็นสายน้ำ ยิ่งบรรยากาศตอนเช้ามาเดินถ่ายรูปกันเพลินเลย



               
 หาเวลาที่มีอยู่น้อยนิด มาแอบนั่งเสก็ตมุมที่ชอบ





   นี่ก็อีกมุม เย็นมากแล้วต้องรีบวาดก่อนจะค่ำ



มองถัดลงไปจากด้านบน เลยจากจุดที่ขึ้นจากเรือ เป็นแพขนาดใหญ่มีเตียงนอนเล่นหลายเตียง มองผ่านๆก็เฉย แต่ถ้าลงไปยืนที่แพแล้วเป็นเรื่องเลย โดยเฉพาะตอนเช้าๆ มันน่ามาเอนหลังนอนพอเคลิ้มๆข้างหน้าภูเขาเต็มๆตา ทำสายตาได้มองสำรวจอะไรๆเพลินตาเพลินใจ มองต่ำลงมาสายน้ำที่ไม่หลับไหล ไหลเอื่อยๆเหมือนล่องลอยอยู่ท่ามกลางผืนน้ำ ภูเขา สายน้ำ ท้องฟ้า เฮ่อ! มีเวลาสักช่วงยาวๆ ได้นอนชมธรรมชาติแบบใกล้ๆตัวแค่นี้ก็เต็มอิ่มแล้ว ที่เสียดายก็เพราะ มีเวลามาพักกันแค่หนึ่งคืนเท่านั้นเอง




              อาคารต้อนรับมองอีกมุมหนึ่ง





                         นี่ก็อีกด้าน มองจากด้านล่างขึ้นไป






บรรยากาศภายใน ห้องอาหารเข้ากับธรรมชาติดี




        พนักงาน ส่วนใหญ่น่าจะเป็นชาวมอญ




       มองออกจากตัวอาคารมีบันไดทางนี้เดิน
            ไปห้องสัมมนา ไปถ้ำละว้าได้







   บ้านพักแต่ละหลัง ตามขนาด ราคาให้เลือก



      บ้านหลังใหญ่ หลังนี้ แค่นอนอ่านหนังสือ หรือนอนเล่นบนระเบียงก็มีความสุขแล้ว




          หลังเดียวกันกับภาพบน



ที่นี่มีห้องพักทั้งหมด 83 ห้อง(ไม่แน่นอนประมาณนี้) ออกแบบเข้ากับธรรมชาติ สร้างเป็นกระท่อม มุงด้วยแฝก บังกะโลสไตล์ชาเล่ต์(เขาว่าอย่างนั้น)สลับด้วยเรือนไม้ เรียบง่าย ด้วยใช้วัสดุจากไม้เป็นหลัก เรียบง่ายไม่ขัดตา เพราะถ้าอาคารเป็นปูนก็จบเลยมันไปทำลายธรรมชาติ ที่พักมีทั้งหลังเดี่ยว และหลังใหญ่รวม3ห้องในหลังเดียวกัน ห้องพักมีเครื่องอำนวยความสะดวก เครื่องปรับอากาศ,โทรทัศน์, ฝักบัว, ระเบียง,ชานเรือน, โทรทัศน์ (เคเบิล) ไว้ให้อีกทั้งการมี บาร์/ผับ, ห้องประชุม(แยกออกไปจากตัวที่พัก), ร้านอาหาร มีบริการนวดสปาด้วย ,







              สระน้ำมองลงมาจากล็อบบี้ 
ด้านหลังเป็นสายน้ำเข้ากับธรรมชาติ สบายตาจัง



สระว่ายน้ำกลางแจ้ง ของโรงแรม แต่เล็กไปหน่อย ขนาดจำนวนนักท่องเที่ยวที่เห็นๆ สระไม่พอบริการ อันนี้ขอติง แต่สระถ้ามองลงมาจากตัวล็อบบี้ชั้นสอง สวยมากฉากหลังเป็นบรรยากาศธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมหลายๆแบบในบริเวณที่พักและที่ใกล้เคียง มีจักรยานเสือภูเขาน่าจะมีขนาดของเด็กด้วยจะดีเลย เด็กเล็กเลยหมดสนุก มีล่องแพ พายเรือแคนู ขี่ช้างท่องไพร เดินป่า ดูนก ตกปลา และ ชมพืชพรรณธรรมชาติ วัฒนธรรม วิถีชีวิตชาวมอญ ฯลฯ พวกนี้ไม่ได้ใช้บริการเลยเพราะเวลาน้อย แต่มีโอกาสได้ไปชมถ้ำละว้า แต่ขอบอกอากาศร้อนมากถ้ามาช่วงเดือนนี้









   แผนที่ ทางไปถ้ำละว้า ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตวชิราลงกรณ์





   บริเวณอุทยาน ที่ทางเดินขึ้นเขาเข้าปากถ้ำ




                 
         ปากทางเข้าถ้ำ ทางลงไม่ลึกมาก


                     
                ผังรูปร่างภายในถ้ำ จากปากทางเข้าจนสุดทาง






             
        มีแท่นพระบูชาให้กราบไหว้








   ลงมาก็เห็นค้างคาวเกาะอาศัยอยู่ใกล้หัวเลย









แต่สำหรับคนจะเที่ยวซะอย่าง ไม่มีปัญหาเด็ก 4-5 ขวบยังเดินเที่ยวได้สบาย มีบ่นนิดหน่อย ภายในถ้ำก็แบ่งเป็นหอ้ง 4-5 ห้องได้ ก็สวยไปอีกแบบสำหรับคนเคยเที่ยวถ้ำบ่อยๆก็ดูเพลินๆ ไม่ลึกมากนัก มีเจ้าหน้าที่อาสาพาเดินชมอธิบาย แต่ห้องให้ฟังได้ความรู้ด้วย ตัวถ้ำอยู่ในเขต
ของอุทยานแห่งชาติไทรโยค ห่างจากริมน้ำ ขึ้นไป บนเขา 50 เมตร เดินจากตัวรีสอร์ตไปไม่ไกลไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ ก็ถึงอุทยาน แต่ต้องเดินขึ้นไปบนเขาอีก ปากถ้ำแคบ แต่ภายในกว้างใหญ่โตมาก ถ้ำลึกประมาณ 450 เมตร แบ่งเป็นห้องต่างๆ เช่น ห้องหนุมาน(ห้องที่สาม) เข้าว่าหินงอกรูปเหมือนลิง แล้วแต่สายตาคนมอง ห้องท้องพระโรง ห้องดนตรี




     ห้องนี้แหล่ะที่นักท่องเที่ยว เคาะฟังเสียงกังวานของหินงอกหินย้อยได้



ห้องนี้จะมีหินย้อยลงมาให้นักท่องเที่ยวลองเคาะฟังเสียงดูจะมีเสียงดังกังวาลไม่ทึบเสียงคล้ายโลหะ เลยตั้งชื่อตามลักษณะของห้องนั้นๆ(ไม่รู้ว่าเคาะบ่อยๆจะไปทำลายธรรมชาติหรือเปล่านะ) และห้องจระเข้(ห้องที่สี่) แต่ละห้องมีหินงอก หินย้อย สวยงามแตกต่างกันไป





                 บรรยากาศแสงสีแต่ะห้อง











           เด็กๆยังสนใจมาเที่ยวถ้ำกันเลย 
         ซักถามเจ้าหน้าที่กันสนุกสนานเลย





          บนเพดาน มองเห็นร่องรอยหยดน้ำ 
ไหลมาจนเป็นรูปพระเป็นที่มาของชื่อห้องของถ้ำนี้






                               

 แมลงเล็กๆที่อาศัยในถ้ำ ที่เห็นนี่คือจิ้งหรีดหนวดยาว







             เดินกลับขึ้นสู่ปากถ้ำ



เขาถ้ำนี้ถูกค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2496 โดยนายพรานที่ชื่อ ผิน ดอกเข็ม ได้ตามล่าเม่นที่บาดเจ็บเข้ามาในถ้ำนี้ ความบังเอิญจึงพบถ้ำนี้ขึ้น(จะเท็จจริงยังไงใครมีโอกาสได้ไปลองถามเจ้าหน้าที่ที่นั่นดู)ยังมีข้อมูลว่าภายในถ้ำมีวัตถุโบราณมีโครงกระดูกมนุษย์หลงเหลืออยู่ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้พาไปดู เลยไม่มีภาพถ่ายมาให้ดู นอกจากถ้ำสวยๆที่ได้ดูแล้วถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่คอยบอกให้สังเกตจะไม่รู้ว่ามีสัตว์อาศัยอยู่ในถ้ำด้วย เช่นจิ้งหรีดหนวดยาว แมงป่อง กบ เข้าใจว่าสัตว์ที่อยู่ในถ้ำคงสายตาไม่ดีหรือไม่ก็อาจตาบอดเลยก็ได้ เพราะแสงในถ้ำน้อยอยู่แล้ว ใช้เวลาอยู่ในถ้ำไม่นานมากนักก็ออกจากถ้ำกลับสู่ที่พัก
         ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งแยกไปดูวิถีธรรมชาตของชาวมอญ เลยไม่รู้ว่าน่าสนุกขนาดไหน เห็นบ่นๆมีแต่ของขาย อันนี้แล้วแต่คนมอง คนเที่ยว ไม่วิจารณ์เพราะไม่ได้ไปเห็นกับตา กลับมาพักผ่อนว่ายน้ำกัน ตกค่ำมีเลี้ยงกันที่ลานสนามหญ้า ที่นี่เขามีแคมป์ไฟด้วยนะ แต่ยุงมากไปหน่อยมีสเปรย์กันยุงเตรียมพร้อม แล้วเอร็ดอร่อยกับอาหารหลากหลายชนิด แน่นอนขาดไม่ได้ก็ต้องไส้อั่วคุณนงเยาว์ กินแล้วรู้เลยว่าใช่ ขากลับก็เลยต้องแวะซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านกัน ลูกสาวไม่รู้คนที่เท่าไหร่ของแม่นงเยาว์ เป็นข้าราชการอยู่กระทรวงพาณิชย์ แต่ตอนนี้ไปอยู่ที่เยอรมันอีก2-3ปีก็กลับมาเมืองไทย



ภาพล้อลูกสาวแม่นงเยาว์ เจ้าของไส้อั่วชื่อดังของเมืองกาญจฯ ตากับติ่ง เจ้าสาวกับเจ้าบ่าว





วันแต่งงานก็วาดภาพล้อเป็นของขวัญให้ เวลามาเมืองกาจญฯทีไรก็ต้องเลยแวะซื้อทุกที่ ขอแนะนำเลยว่าไม่ผิดหวัง








         รำมอญ หรือ ระบำมอญแล้วแต่เรียก





มื้อค่ำก็จบลงด้วยการแสดง รำมอญ ที่สวยงามบนเวที มีสี่ชุดด้วยกัน รุ่งเช้าก็ร่ำลากลับ คราวหน้าจะหาเวลามาพักให้นานกว่าอีก
แนะนำเลยว่าไม่ผิดหวัง วิวรีสอร์ทให้คะแนน 85-90% อาหาร 75% สนใจก็ลองติดต่อโทร.0 2642 5497, 08 1734 5238,  ที่อยู่ก็ 55 หมู่ 5 ตำบลวังกระแจะ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี 71150 ขอให้มีความสุขกับการพักผ่อนที่นี่ครับ








                 ได้เวลากลับแล้วครับ 
        โอกาสหน้าจะแวะมาอีก บ๊ายบาย!


วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ชวนเที่ยว"บ้านศิลปิน"

โชคดี คลองบางหลวง

"เยือนอดีตตลาดน้ำที่เคยรุ่งเรือง
ตลาดกรุงธนบุรีวัดคูหา
เชิญกราบไหว้พระเจดีย์อยุธยา
เสริมศรัธราสร้างวิถีที่ชุมชน"





                        ตัวบ้านศิลปิน ที่มองจากเรือขึ้นมา

คำโปรยบนแผ่นพับที่แจกวันเปิดตัว "บ้านศิลปิน" ที่ จรัญสนิทวงศ์ ซอย 3 เมื่อต้นเดือน กันยายน ย้อนกลับไปอาทิตย์ กว่าๆก่อนที่จะเปิดตัวบ้านศิลปิน บังเอิญได้เจอ พี่โกะ ชุมพล อักพันธานนท์ รุ่นพี่ที่คณะ


                    ดรออิ้ง รูปพี่โกะไป นั่งคุยกันไปที่จุลดิศ

(ถ้าใครเป็นแฟนพันธ์แท้พี่โกะ ก็ต้องรู้จัก โปสการ์ดราคาถูกแต่ ภาพและคำบรรยายในภาพถ่าย ไม่ถูกเหมือนราคาเลย มีอะไรให้เก็บขบคิดได้อย่างมากมาย)ที่จุลดิศเขาใหญ่

                      
                          พี่โกะ นั่งพักที่ระเบียงทางเดิน




                       สมาชิกใหม่ของบ้านศิลปิน (ม.ค.2554)


พี่เลยเล่าโครงการอนุรักษ์ ชุมชนคลองบางหลวง ได้รับการติดต่อให้มาช่วยกันดูแล บ้านหลังนี้ ทั้งแรงกายแรงใจและแรงทรัพย์ กับรุ่นพี่และเพื่อนของพี่โกะ เลยชวนให้มาวันเปิดตัวบ้านศิลปิน วันที่ 19 กันยายน ให้เอารูปวาด มาวางโชว์สร้างบรรยากาศด้วย พี่เล่าว่าบ้านหลังนี้เก่ามากไม้ก็ผุพัง ฐานบ้านจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่ต้องรับน้ำหนักบ้าน งานใหญ่จึงอยู่ การดีดเสาบ้าน หล่อเสาให้อยู่ในสภาพเดิม หมดค่าใช้จ่ายไปมากมาย





                  ทางเข้าจากจรัญสนิทวงศ์ 3 นี้ก้นซอยแล้ว


                        เดินเข้ามาเจอสะพานทางขึ้นเลย



ซ้ายมือ บ้านศิลปิน



ขวามือ วัดคูหาสวรรค์



 ลงสะพานแล้วเดินไปทางซ้ายมือ บ้านศิลปิน




                                  บ้านศิลปิน อีกมุมหนึ่ง






   ภาพถ่ายความหลังเก่าๆ ของชาวบางกอกใหญ่ที่รวบรวมไว้ให้ดู



ทำไมต้องอนุรักษ์ต้องทุ่มเทมากมาย ต้องไปเห็นไปดูกับตา ถึงจะรู้ว่า ควรค่ากับการทุ่มทุนจริง แค่แวะไปเยือนแล้ว สัมผัสบรรยากาศแล้ว ให้เวลาสักนิด สงบใจกายชื่นชมไปกับภาพที่เห็น ไม่ว่าจะเป็นเจดีย์กลางบ้าน



ที่เป็นจุดเด่น จุดขายของบ้านเลย ชั้นสองที่มองเห็นคลอง ทอดยาวจากทางซ้ายไปทางขวา ด้านข้างมีคลอง ลัดเล็กๆไปตามบ้านตามชุมชน บอกตรงๆเลยอิจฉามากอยากเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้จัง จะมีความสุขมากขนาดไหนนะ






           ฝีมือบทกลอน กล่าวถึงวัดคูหาสวรรค์ ของชุมชนนี้

บ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่า ตระกูล รักสำหรวจ ทำการค้ามาตั้งแต่ สมัยกรุงธนบุรี โน่น บ้านเป็นทรงมนิลา(ไม่ค่อยรู้เรื่องทรงบ้านเท่าไหร่) อายุนับร้อยปีแล้ว พี่โกะซ่อมโดยเปิดบ้านด้านหลังให้มองดูทะลุกันหมด สวยงามน่าทึ่งจริงๆ เดิมย่านนี้เป็นชุมชนทำทองทั้งย่าน พี่โกะเลยตั้งโต๊ะทำทอง มีช่างมาทำให้ดูด้วย ให้หลงเหลือความหลังไว้ดูบ้าง ถ้าไปที่บ้านนี้ ก็จะเห็นรูปเจ้าของสมัย ร.4 ได้ รุ่นหลังที่เป็นทายาทอยู่ คือ พลเรือเอก ยอดชาย รักสำหรวจ คำยืนยัน วันเปิดตัวบ้านศิลปิน พี่บอกว่าไม่อยากให้เหมือน กับตลาดอัมพวา เห็นด้วยเพราะถ้าเป็นแบบหลัง ความเป็นจิตวิญญาณ ของชุมชนคงไม่เหลืออะไรเลย ทุกอย่างกลายเป็นธุรกิจ ถูกกอบโกยหมดทุกอย่าง อย่างอัมพวา หรือเกาะเกร็ด คนในพื้นที่จริงๆ เหลืออยู่มากน้อยเท่าไหร่ แต่ที่เห็นนี่ ไม่น่าจะเรียกว่ามาเพื่อกอบโกยแต่มาเพื่อช่วยชุมชนมากกว่า มาซ่อมทางเดินระเบียง ที่ผุพังให้ใช้งานได้ เมื่อมีคนมาเยี่ยม คนในชุมชนอาซิม คุณย่า ยาย ห้องใกล้เคียงกันก็ได้อาศัยค้าขายเล็กๆน้อยๆ คืนชีวิตให้ชุมชน มีกิจกรรมให้ชาวชุมชนมานั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เห็นคนเฒ่าคนแก่มาร่วมนั่งพูดคุยกับพี่เขาแล้ว ถือว่าสำเร็จแล้วล่ะ เพราะซื้อใจชาวชุมชนได้ เพราะความตั้งใจและความจริงใจของพี่เขาจริงๆ
ที่สำคัญคือคำว่า "บ้านศิลปิน" จึงเป็นที่มาและที่แสดงงานศิลปะ ที่วางรูปศิลปะให้ผู้มาเยียนได้ชม ได้ซื้อไปด้วย ที่มาก็เพราะระหว่างที่ซ่อมบ้านหลังนี้ วันนั้นฝนตกหนัก มีฝรั่งคนหนึ่งมาจากโอเรียลเต็ล(ถ้าจำไม่ผิด) มาขอแวะพักหลบฝน แล้วได้เห็นงานรูปถ่ายของพี่โกะ เลยสนใจขอซื้อ ไปหลายภาพแต่แกมีแต่บัตรเครดิต ต้องนั่งเรือกลับ โรงแรมไปเอาเงินมาซื้อแล้วนั่งเรือย้อนกลับมาอีก ไม่ได้มาซื้อเพราะเกรงใจหรือตอบแทนที่ได้หลบฝนแต่ซื้อเพราะต้องการจริง ทำให้เป็นที่มาที่พี่โกะได้แนวความคิด และเป็นทางเลือกให้กับคนทำงานศิลปะด้วย ว่าควรจะได้ให้ผู้มาเยี่ยมบ้านได้มาชื่นชมงานศิลป์ไปด้วย
จากคลองบางหลวง บางกอกใหญ่ ไปคลองมอญ คลองชักพระ ผ่านตลาดน้ำตลิ่งชันไปออกคลองบางกอกน้อย แล้วทะลุออกแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนจะมาวกกลับมาจบที่ บ้านศิลปินคลองบางหลวงเหมือนเดิม




          ภาพวิถีชีวิตของชาวตลาด ชาวคลอง ที่ไปแขวนโชว์

(แฮ่ม!มีงานตัวเองไปวางอยู่ 2 ชิ้น ถ้าไปเที่ยวอย่าลืมแวะดูด้วย)และเป็นที่สำหรับคนต้องการชื่นชมกับงานศิลปะด้วย ต้องยอมรับว่าตอนนี้งานยังน้อยอยู่บ้าง
พี่โกะบอกว่ามีความสุขที่เห็นวิถีชีวิตของที่นี่ อยากให้เป็นแบบนี้ ไม่อยากโหมประชาสัมพันธ์ให้คนไปกันมากๆ จนกลายเป็นอัมพวาสอง แต่อยากให้มาชื่นชมกับ ชีวิตที่งดงาม กับสายน้ำที่ไหลหลับ ทุกๆวันที่นี่
บรรยากาศวันเปิดก็มีดนตรีไทยบรรเลง มีนักไวโอลินตัวน้อย 7 ขวบมาสีหลายๆเพลงให้ฟัง


 
          น้องต้องสู้ บรรเลงเพลงให้ฟังวันเปิดตัว บ้านศิลปิน

ก็ได้เจอทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง อยู่กันยาวค่อนวัน ไฮไลน์ก็ลงเรือชมคลองกัน

          
            ล่องเรือชมคลอง ชมวิถีชีวิตแต่ละคลองที่ผ่านไปกัน














แล้วเปิดใจพี่โกะ สัมภาษณ์สนทนาพูดคุยกันอย่างเปิดอก บริการถ่ายรูปฟรี เต็มอิ่มไปกับบรรยากาศในวันนั้น อย่างอบอุ่น



        มุมทำงานเล็กๆในบ้านศิลปินของเจ้าแบร์ เพื่อนช่างศิลป์

 


                               สตูดิโอเล็กๆ ของพี่บ็อบบี้


ห้องถัดไป ก็เป็นศิลปินรุ่นพี่ที่ช่างศิลป์ พี่บ็อบบี้ มาเช่าห้องเปิดเป็นสตูดิโอ เลยกลายเป็นที่แวะมาพูดคุยความหลังเก่าๆกัน(แล้วจะมีเวลาทำงานกันไหมนี่)
หลังจากนั้นไม่ว่างเลยยาวจนเดือนที่แล้ว พอจะมีเวลาได้แวะไปเยี่ยมบ้านศิลปินอีก ก็พอดีได้เจอพี่โกะอีก โชคดีเพราะพี่เดินสายตลอดที่ธุรกิจที่ ปาย ที่โน่นด้วย เลยได้นั่งเรือชมคลองกันอีกอย่างไม่คาดคิด นั่งเข้าไปแถวตลิ่งชัน ถ่ายรูปมาให้ดูกันด้วย(ไม่รู้รูปไหนรอบแรก รอบหลัง ที่นั่งเรือเพราะจำบ้านแต่ละคลองไม่ได้ )พอดีพี่โกะ ทำโครงการรณรงค์ ให้ลดมลพิษทางเสียงจากเรือ ที่รบกวนชาวบ้าน เห็นไหมไม่ได้มาทำธุรกิจแต่มาช่วยเหลือชาวบ้านด้วย พี่เขาถ่ายเป็นวิดิโอสัมภาษณ์ชาวบ้าน อัดเสียงเรือที่ดังรบกวนชาวบ้าน เลยลงชื่อสนับสนุน ให้แก้ไขมลพิษทางเสียงจากเรือทางชาวบ้านต้องทนฟังมานานแสนนาน เห็นพี่เขาจะไปนำเสนอในงาน วันสถาปนิก ที่อิมแพ็ค เราก็เลยอาศัยเก็บบรรยากาศไปด้วยเลย
วันนี้เลยมาแนะนำให้ไปเที่ยวบ้านศิลปินกัน อย่าไปจินตนาการว่าจะมีอะไรๆให้ดูอย่างน้องๆอัมพวา ไม่ใช่เลย แต่เป็นอะไรที่สงบๆเหมาะกับการ หยุดเวลาเพื่อผาสุก สักครู่สักเวลา แล้วได้อะไรไปบ้าง เล็กบ้างน้อยบ้าง หรืออาจจะเติมเต็มอะไรที่ขาดหายไปสำหรับคนบางคนก็นับว่ามีค่ามากมายแล้ว




หุ่นละครเล็กคลองบางหลวง คณะคำนาย มาเปิดวิกที่นี่แล้ว (ม.ค.2554)



อ่านข้อมูล ชมภาพสวยๆของ"บ้านศิลปิน"เพิ่มเติมจาก http://baansilapin.com/home/